ทริปสวนผึ้ง ราชบุรี 2 วัน 1 คืน ( Part 2 ) : ฟาร์มแกะ The Scenery Vintage Farm , Veneto , ร้าน Crazy Bee
ข้อมูลทริป
วันที่ 5-6 ธันวาคม 2558
สถานที่ อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี
เดินทางโดย มอเตอร์ไซค์ Honda Super Cub
งบประมาณ คนละ 2,000 บาท
สถานที่ท่องเที่ยว : ฟาร์มเมล่อนโคโรฟิลด์ , ร้านกาแฟโมอาย , ฟาร์มแกะ The Snenery Vintage Farm , ตลาดน้ำ Veneto , ร้าน Crazy Bee , ตลาดจูงมือ , น้ำตกเก้าชั้น , ธารน้ำร้อนบ่อคลึง , บ้านหอมเทียน
-------
ต่อจาก Part 1
http://journeyofmumu.blogspot.com/2015/12/2-1-part-1-corofield.html
หลังจากนั้น พวกเราก็เดินทางเข้าสู่ที่พัก "โบ๊ทเฮาส์รีสอร์ต" ซึ่งอยู่ใกล้กับแหล่งท่องเที่ยว ราคาไม่แพง รีวิวคนที่เคยมาพักก็ค่อนข้างดี ราคาห้องพักช่วงเทศกาล เดือนธันวาคม ปี 2558 ห้องแอร์ อยู่ที่ราคา 1,500 บาท พักได้ 2 คน
จากนี้เราจะไปต่อกัน โดยเริ่มจากการเยี่ยมชมฟาร์มแกะ "The Scenery Vintage Farm"
The Scenery Vintage Farm เป็นฟาร์มแกะที่มีชื่อเสียงแห่งแรกๆในไทย หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีอิทธิพลทำให้สวนผึ้งได้รับความนิยมจนถึงทุกวันนี้ ที่แห่งนี้ได้เนรมิตพื้นที่อันกว้างขวางมาสร้างฟาร์มแกะ พร้อมจำลองบรรยากาศจากยุโรปยุควินเทจ สวยงาม รีแล็กซ์ ผ่อนคลาย สนุกสนาน น่าถ่ายรูป
พนักงานทุกคนของที่นี่ใส่ชุดสไตล์ยุโรปคันทรี่ ชุดแบบชาวนาของฝรั่ง ดูเข้ากับบรรยากาศมากๆ
ค่าเข้าไม่แพง คนละ 50 บาท และได้หญ้าสำหรับเลี้ยงแกะฟรีคนละ 1 กำมือ
เมื่อเดินผ่านรั้วเข้าไป เราจะพบบรรยากาศสไตล์ชนบทของฝรั่ง อย่างเช่น ฉากปั๊มน้ำมันและรถเก่าๆ
มีซุ้มกิจกรรมต่างๆให้เราเล่น โดยเสียค่าตั๋วเพิ่มเกมละ 30 บาท ซึ่งแต่ละซุ้มกิจกรรมก็ยังคงออกแบบในสไตล์ของวินเทจ ไม่มีหลุดคอนเซ็ปต์เลยสักนิด
เดินเรื่อยเปื่อยจนมาถึงคอกแกะขนาดใหญ่ พวกเราเดินเข้าไปรับหญ้าสำหรับเลี้ยงแกะคนละ 1 กำมือ พนักงานนำตั๋วของเราไปหย่อนลงกล่อง น่าเสียดาย น่าจะให้ตั๋วเรากลับบ้านไปเป็นที่ระลึกซักหน่อย
เมื่อหญ้าอยู่ในมือของเรา ฝูงแกะก็วิ่งเข้ามาถล่ม ได้ยินเสียงร้อง แบร แบร มาแต่ไกล เกิดมาไม่เคยคิดไม่เคยฝันว่าแกะจะเชื่องและฉลาดขนาดนี้ แกะบางตัวก็กระโดดเกาะเราเพื่อขออาหาร บางคนคนยืนไม่ระวังก็อาจจะล้มได้ สำหรับเด็กตัวเล็กๆก็ต้องระวัง เด็กบางคนเจอแกะมารุม ตกใจกลัวมาก ร้องไห้เลย
เมื่อเรากำหญ้าไว้ในมือ จะมีฝูงแกะเดินตามเป็นพรวน เหมือนขบวนพาเหรดแกะ ช่างเป็นภาพที่น่ารักมากๆ แกะที่นี่สะอาดและเชื่อง เราสามารถกอดแกะขนปุยเหล่านี้ได้ บางตัวก็ยอมให้กอดดีๆ บางตัวก็วิ่งหนีเก่งมาก
หลังจากพวกเราเล่นกับแกะจนหนำใจแล้ว เดินไปอีกฟากหนึ่ง พบกับซุ้มยิงธนู ค่าเล่น ครั้งละ 100 บาท ยิงได้ 10 ดอก ไม่รอช้า รีบเข้าไปเล่นอย่างไว พนักงานคอยอธิบายวิธีการใช้ธนูเป็นอย่างดี และถ้าเรายิงเข้าเป้าตรงกลาง จะได้รับรางวัลอีกด้วย
ธนู สำหรับผู้ใหญ่ค่อนข้างมีขนาดใหญ่ แต่สายไม่แข็งอย่างที่คิด สามารถง้างออกได้ไม่ยากเลย แม้แต่ผู้หญิงก็ยิงธนูได้สบายๆ แต่ยิงเข้าเป้าหรือเปล่าก็อีกเรื่องนะ การยิงธนูค่อนข้างเล็งยากกว่าการยิงปืน ต้องคำนึงถึงวิถีของการยิงและทิศทางลมด้วย
หลังจากเดินเล่นจนคอเริ่มแห้ง พวกเราก็ไปลองของขึ้นชื่อของที่นี่ ซึ่งก็คือ "ไอศครีมนมแกะ" ราคาโคนละ 30 บาท
ไอศครีมมีให้เลือก 3 รส คือ รสนม รสช็อคโกแล็ต และ รสผสมนมกับช็อคโกแล็ต ไอศครีมนมแกะของที่นี่มีรสชาติคล้ายไอศครีมซอฟเสิร์ฟรสนมธรรมดา แต่มีความพิเศษที่มีกลิ่นแบบเนื้อแกะอยู่จางๆ
นมแกะอัดเม็ด และ ลูกอมนมแกะ ราคาขวดละ 40 บาท เป็นของฝากที่น่ารักและเก็บได้นาน
The Scenery Vintage Farm เป็นสถานที่ที่ดีมากๆสมกับคำร่ำลือ หากใครแวะมาที่สวนผึ้ง ควรจะมาเที่ยวให้ได้สักครั้ง รับรองว่าคุ้มค่า
จากนั้น เราก็ขับไปเที่ยวสถานที่ต่อไป ซึ่งก็คือ "ตลาดน้ำเวเนโต้"
ตลาดน้ำเวเนโต้ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ของสวนผึ้ง ซึ่งประโคมการประชาสัมพันธ์มาโดยตลอด ทั้งโฆษณาตามเว็บไซต์ ทั้งเอาศิลปินดารามาแสดงคอนเสิร์ต
อยากจะไปลองดูหน่อยว่าจะสวยเหมือนในรูปจริงหรือเปล่า เขาประชาสัมพันธ์ว่าที่นี่จำลองบรรยากาศมาจากเมือง Venice ประเทศอิตาลี และผสมผสานกับสถาปัตยกรรมแนวกรีซโบราณ แบบ Santorini
เมื่อเราไปถึงด้านหน้า มีป้ายสวยงาม ชวนให้รู้สึกตื่นเต้น พนักงานต้อนรับที่นี่บริการดีมากๆ เก็บค่าเข้าคนละ 50 บาท สำหรับเข้าตลาดน้ำ
เราเลือกเข้าตลาดน้ำแบบธรรมดา ช่วงนี้จะไม่ค่อยถ่ายรูป....เพราะ ผิดหวังมาก....อุตส่าห์ประโคมว่าเหมือนอิตาลีบ้าง ซานโตรินี่บ้าง แต่สิ่งที่เราเห็นคือ มุมถ่ายรูปสไตล์งานรับปริญญาจำนวนมาก ร้านค้าขายของโหลๆซ้ำๆกัน ตุ๊กตาคุณภาพไม่ดี ร้านอาหารที่ดูไม่น่ากินแต่ขายแพง ดูไม่น่าซื้อ ร้านค้าเปิดบ้างไม่เปิดบ้าง กิจกรรมก็ไน่าสนใจแถมยังแพงอีกด้วย
ตลาดน้ำเวเนโต้ ไม่มีความเป็นอิตาลี่หรือซานโตรินี่ มีแต่ความ Local ที่ดูขัดแย้งกับคำโฆษณาสุดๆ มีรูปปั้นการ์ตูนและศิลปะตกแต่งที่ไม่ได้มีความเข้ากับธีมของอิตาลี่ จะถ่ายรูปทั้งทีก็ถ่ายลำบาก เนื่องจากมีการจัดวางสถานที่ถ่ายรูปแบบไม่มี Space จะถ่ายไปทางไหนก็ติดคนอื่น ไม่สวยงาม สถานที่ที่พอจะถ่ายรูปได้ก็มีแค่กังหันที่เป็นสัญลักษณ์ของที่นี่ กับทะเลสาบเท่านั้น แถมที่ยังแคบมากเท่าแมวดิ้นตาย เดินแค่ไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็ไม่มีอะไรทำแล้ว ถ้าดูใกล้ๆก็รู้สึกว่างานก่อสร้างที่นี่ดูไม่ค่อยตั้งใจทำ เหมือนสร้างแบบลวกๆ เหมือนกะจะกวาดเงินนักท่องเที่ยวมากกว่า แถมยังเก็บค่าเข้าชมทั้งๆที่เหมือนยังสร้างไม่เสร็จเรียบร้อยดี ทำให้นักท่องเที่ยวอย่างเราเสียความรู้สึก รู้สึกเหมือนถูกหลอกลวง คุณภาพ ความสวยงาม คอนเซ็ปต์อาร์ตของที่นี่ ไม่สามารถทัดเทียม โคโรฟิลด์ และ The Scenery Vintage Farm ได้เลย
ณ เวลานี้ ที่บันทึกไว้ คือ เดือนธันวาคม ปี 2558 หวังว่าในอนาคตเวเนโต้จะรีบปรับปรุงตัวนะ
รีบหนีจากสถานที่ชวนอารมณ์เสีย กลับมาเข้าบ้านพักที่"โบ๊ทเฮาส์รีสอร์ท" เพราะเราได้ดูพยากรณ์ล่วงหน้าว่า "ฝนจะตกตอนบ่าย 3" เมื่อเข้าห้อง ปุ๊บ ฝนก็ลงโครมใหญ่เป็นชั่วโมงๆ ไม่อยากจะคิดเลยว่า กลุ่มนักท่องเที่ยวหญิงที่เพิ่งซื้อตั๋วสำหรับนั่งเรือในตลาดน้ำเวเนโต้เมื่อสักครู่ เขาจะเจอกับอะไรบ้าง เพราะฝนตกแรงมาก หากเราไม่ได้ดูพยากรณ์อากาศล่วงหน้า งานนี้เห็นจะต้องติดแหง่กอยู่ในเวนิซจอมปลอมที่นั่นแหงๆ...
เมื่อฝนเริ่มหยุดตก ท้องก็เริ่มหิว ได้เวลาไปทดลองชิมอาหารเย็นของที่พักแห่งนี้ ร้านอาหาร "เครซี่บี"
ร้านอาหารเครซี่บี หรือ ครัวโบ๊ทเฮาส์ เจ้าของเดียวกับที่พักโบ๊ทเฮาส์รีสอร์ท สามารถสั่งอาหารไปส่งในห้องได้
บรรดาร้านอาหารในสวนผึ้งที่ได้รับการแนะนำนั้นมีอยู่มากมาย แต่เราก็ไปสะดุดตากับร้าน "เครซี่บี" เนื่องจากเป็นร้านสเต๊กของ "เชฟ" ผู้ที่มีผลงานการแข่งขันทำอาหารระดับแชมป์ภาคตะวันตกและเข้าร่วมการแข่งขันเชฟในงานแข่งที่กรุงเทพฯอยู่เรื่อยๆ และยิ่งน่าสนใจมากขึ้น เมื่อเราตามไปดูในเพจของร้าน ซึ่งมีการอัพเดทเมนูใหม่ๆที่เชฟคิดขึ้นเองอยู่เรื่อยๆ
เราเองก็เป็นพวกที่ชอบทานสเต๊ก สเต๊กนั้นดูเผินๆเหมือนจะทำง่าย ถึงได้มีร้านสเต๊ก 49 บาทผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด แต่จริงๆแล้ว สเต๊กเป็นอาหารที่วัดฝีมือคนทำเป็นอย่างมาก จะทำให้อร่อยจริงๆนั้นยาก!
เพียงแค่ข้ามฝั่งไปจาก " โบ๊ทเฮาส์รีสอร์ท" ก็จะพบกับร้านอาหาร"เครซี่บี" (Crazy Bee) ดูเหมือนว่าที่นี่กับที่พักจะเป็นเจ้าของเดียวกัน เมื่อเราเดินไปถึง พบว่ามีพนักงานหญิงในร้านอยู่คนเดียว วิ่งหัวหมุนทั้งเสิร์ฟอาหารทั้งคิดเงิน มีลูกค้ากรุ๊ปใหญ่แน่นร้าน พนักงานไม่ได้ออกมาต้อนรับและดูแลพวกเราได้ทันท่วงที ต้องรอนานพอสมควร แต่ก็พอจะรอไหว เราเข้าใจว่าพนักงานน้อย ดูแลไม่ทัน แต่สักพักพนักงานก็นำเมนูมาให้และบริการพวกเราเป็นอย่างดี
ร้านเครซี่บี ขายสเต๊ก อาหารฝรั่ง และอาหารไทย โดยจะเน้นไปที่เมนูสเต๊กเป็นหลัก เรามองไปที่ป้ายกระดานของร้าน ดูรายการเมนูแนะนำ เรากับ N สั่งเมนูแนะนำดังนี้ สเต๊กไก่อบชีส สเต๊กหมูไฮเอนด์ ลาซานญ่าหมู หอมทอด ราคาของสเต๊กจะอยู่ที่ประมาณ 150-190 บาท ของกินเล่นเริ่มที่ประมาณ 50-80 บาท
ใช้เวลารออาหารไม่นาน เมนูต่างๆก็เริ่มถูกทยอยออกมาเสิร์ฟ เริ่มจาก หอมทอด
ที่นี่ใช้หอมใหญ่ชุบเกล็ดขนมปังเนื้อละเอียด ให้สัมผัสที่กรุบกรอบมาก
จากนั้นก็ถึงคิวของลาซานญ่าหมู มาแบบปริมาณใหญ่ยักษ์และชวนอึ้ง ปกติส่วนใหญ่เราจะเห็นลาซานญ่าถูกเสิร์ฟในชามสำหรับอบ แต่ร้านนี้เสิร์ฟในจานใหญ่และมีซอสราดอยู่รอบๆด้วย
ลาซานญ่าหมู ของที่นี่น่าทึ่งมากๆ เมื่อเราใช้ช้อนตักเข้าไปในเนื้อลาซานญ่า พบว่าด้านในมีเครื่องใส่อยู่เยอะมาก พอลองชิมดู พบว่านอกจากกลิ่นเครื่องเทศจำนวนมากจะหอมกรุ่นอยู่ในปากแล้ว เชฟเขายังใส่ "ใบโหระพาสด สับหยาบ" ลงไปด้วย การปรังรสก็จัดจ้าน ถูกปากคนไทย และใส่ชีสแบบจัดเต็ม เป็นลาซานญ่าที่อร่อยมากจนอยากจะกลับไปกินอีกครั้ง
จากนั้นก็ถึงคราวของสเต๊ก เชฟทำพวกเราตกใจอีกแล้ว พวกเราต้องทึ่งกับความมหึมาของชิ้นสเต๊ก นับว่าราคาประมาณ 189 ไม่แพงเกินไปเลย เมื่อเทียบกับคุณภาพและปริมาณ
สเต๊กไก่อบชีส โปะชีสมาแบบทะลัก ราดซอสสูตรของร้าน เห็นแบบนี้จริงๆจานใหญ่มาก
ส่วนสเต๊กหมูไฮเอนด์นั้น เป็นสเต๊กหมูที่โปะด้วยชีส เบคอน และไข่ดาว ราดซอสซึ่งน่าจะเป็นซอสคนละแบบกับสเต๊กไก่ สเต๊กทั้งสองจาน วางเคียงกับเฟรนช์ฟราย เห็ดย่างเนย และสลัดราดน้ำสลัดเลมอน
ข้างบนโปะชีส แต่ใต้ไข่ดาวก็มีชีสอีกนะ
เมื่อลองห้่นเนื้อสเต๊กดู พบว่าเชฟย่างสเต๊กได้สุกแบบพอดี มีน้ำซุปชุ่มฉ่ำกักเก็บอยู่ข้างในเนื้อ ปรุงรสเยี่ยม หอมเครื่องเทศ เนื้อนุ่ม มีไขมันแทรกแบบพอดีๆ ซอสมีรสออกเปรี้ยวหวานเผ็ดรสจัดจ้าน ผู้ใหญ่ชอบ...แต่เด็กๆน่าจะกินลำบาก แต่การราดซอสเอาไว้รอบๆ แทนที่จะราดลงบนเนื้อโดยตรง ก็สามารถทำให้คนที่ไม่ถนัดกินรสจัดสามารถเลือกได้ว่าจะจิ้มซอสแค่ไหน
เฟรนช์ฟรายที่เคียงมากับสเต๊ก ที่นี่เขานำไปใส่ถ้วยใบเล็กๆแยกจากจานสเต๊ก ทำให้เฟรนช์ฟรายสามารถคงความกรอบเอาไว้ได้นาน
ส่วนสลัดผักนั้นราดด้วยน้ำสลัดซึ่งผู้เขียนคาดว่า น่าจะเป็นน้ำสลัดเลมอนโยเกิร์ต (แต่ถ้าผู้เขียนเดาผิดก็ขออภัยด้วย) เรารู้สึกประทับใจ ที่ทางร้านเลือกใช้น้ำสลัดแบบแปลกใหม่ ไม่ได้ใช้น้ำสลัดสำเร็จรูปธรรมดาๆแบบที่ร้านอื่นเขาชอบใช้กัน นอกจากนี้ในจานสเต๊กยังมีเห็ดย่างเนยด้วยนะ
สเต๊กของร้านนี้เห็นเหมือนจานจะเล็ก แต่จริงๆแล้วจานใหญ่มาก เชฟแนะนำว่าควรจะลองสั่งสเต๊กมากินเพียงคนละจานก่อน อย่าสั่งทีเดียวสองจาน เพราะถ้าทานไม่หมด เชฟจะเสียใจ
เมื่อพวกเรากำลังจะทานมื้อหลักหมด เชฟนำ "มูสช็อคโกแล็ต" มาให้ฟรีๆ ฟังไม่ผิดหรอก...ที่นี่มีขนมหวาน"ฟรี" เป็นบริการพิเศษเล็กๆน้อยๆของที่นี่
เชฟจะคิดขนมใหม่ๆมาแจกลูกค้าไม่ซ้ำกันในแต่ละวัน (แต่อาจจะมีวนกลับมาซ้ำบ้าง เมื่อเชฟหมดมุก) ขนมอาจจะไม่ได้มีปริมาณมากมาย แต่ความอร่อยนั้นระดับสุดยอด ชวนให้รู้สึกประทับใจสุดๆไปเลย
หลังจากอิ่มหนำสำราญ ลูกค้าเริ่มดูน้อยลง พวกเราเห็นเชฟวิ่งวุ่น หมุนๆอยู่ในครัวคนเดียว จากนั้นเชฟก็เดินออกมาขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์ที่จอดไว้ข้างๆร้าน เตรียมจะออกไปซื้อน้ำแข็งมาเพิ่ม เราได้โอกาส จึงเรียกเชฟ " ขอถ่ายรูปด้วยค่า" เชฟหันมายิ้มอย่างอัธยาศัยดี " ได้เลยครับ เดี๋ยวขอออกไปทำธุระก่อน เดี๋ยวกลับมาถ่ายด้วยนะครับ"
เมื่อเชฟกลับมา เขาก็เดินออกมาหาพวกเราตามสัญญาเมื่อสักครู่ และถ่ายรูปกับพวกเรา
เชฟคนนี้เจ๋งจนต้องขอถ่ายรูปซะหน่อย
ร้านเครซี่บี แตกต่างจากร้านสเต๊กขึ้นห้างหลายๆร้าน ร้านแพงๆบางร้านอาจจะเป็นร้านมีชื่อเสียง แต่ให้พนักงานที่ไม่มีหัวใจ ทำอาหารมาเสิร์ฟเรา ....เมื่อเทียบกันแล้ว ร้านอาหารเล็กๆในสวนผึ้งร้านนี้ เชฟคนเดียว ทำอาหารให้คนนับร้อย.... ด้วยหัวใจของเชฟ....ที่อยากจะให้คนกินมีความสุขที่สุด ....
สุดยอดมากๆ !
หากใครแวะมาที่สวนผึ้ง อยากจะให้ลองมาชิมที่ "ร้าน Crazy Bee" ให้ได้นะ
----------
โปรดติดตามต่อ Part 3
http://journeyofmumu.blogspot.com/2015/12/2-1-part-3.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น